การวางแผนหลักสูตรของตนเอง
ตรงกับ 7Cs Career and Life skill คือ ทักษะการใช้ชีวิต คือทักษะการประกอบอาชีพ
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร/ความรู้
– ทักษะความสามารถ
|
1)
การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
|
2)
การระบุ
การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
|
3)
ยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
|
1.Curriculum
Planning
|
คำถามข้อที่ 1: What is the purpose of the education? (Planning)
การวางแผนหลักสูตรในการพัฒนาตนเองให้เป็นครูที่ดี
จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับการระบุเป้าหมาย ที่ต้องการ
1) ความรู้ (K) ต้องมีความรู้ในเรื่องที่สอนอย่างลึกซึ้งและแม่นยำ
2) ผู้เรียน (L)
ต้องคำนึงว่านักเรียนที่สอนนั้นอยู่ในกลุ่ม
ช่วงวัยใด
มีความสนใจอย่างไร เหตุผลที่เราจำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านผู้เรียนก็เนื่องจากว่า เราจะพัฒนาความรู้ด้านพุทธิพิสัยหรือ cognitive
domain ของเด็ก ได้แก่ ด้านความรู้ ความจำ ความเข้าใจ
การนำไปใช้ การวิเคราะห์การสังเคราะห์ และการประเมินค่า
• พัฒนาด้านภาษาศาสตร์ (linguistic) • พัฒนาด้านจิตสังคม ปลูกฝังให้เด็กมีจิตสาธารณะ • พัฒนาด้านจิตพิสัย และคุณธรรม
3) สังคม (S)
ในปัจจุบันอยู่ในยุคฐานข้อมูล ดังนั้นเทคนิควิธีการสอนควจะทันสมัย
และมีข้อมูลที่เชื่อถือได้
นอกจากนี้พื้นฐานสำคัญที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาตนเองให้เป็นครูที่ดี
คือ
- ด้านปรัชญา - ด้านจิตวิทยา - ด้านสังคม
คำถามข้อที่ 2: What educational experiences will attain the
purposes? (Design)
ในการออกแบบหลักสูตรการสอนที่ดีนั้นสามารถยึดหลักได้ดังนี้
1. หลัก 7 ประการในการออกแบบหลักสูตร (7 Principles of Curriculum
Design)
- Challenge and enjoyment (ค้นหาศักยภาพและความสุข) คือต้องออกแบบหลักสูตร
เนื้อหา เทคนิค
วิธีการให้นักเรียนได้ค้นหาศักยภาพและกระตุ้นให้นักเรียนสนใจในการเรียนรู้
- Breadths (ความกว้าง) คือเนื้อหาวิชาที่ดีต้องเปิดกว้างในการเรียนรู้ เพราะว่าบางครั้งในการเรียนรู้มีแนวทางในการเรียนได้หลายทาง
- Progressions (ความก้าวหน้า) คือเนื้อหาวิชาต้องออกแบบมาให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาไปสู้ความก้าวหน้าที่ผู้เรียนตั้งเป้า
- Depths (ความลึกซึ้ง) คือเนื้อหาวิชาต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้อย่างลึกซึ้ง
ซึ่งสำคัญ
- Coherence (ความเกี่ยวข้อง) คือเนื้อหาวิชาที่ดีต้องมีเนื้อหาและจุดประสงค์ที่ต้องสนองกับบริบท
- Relevance (ความสัมพันธ์กัน) คือเนื้อหาต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
- Personalization and choice (ความเป็นเอกลักษณ์และตัวเลือก) คือเนื้อหาวิชา การสอนที่ดีต้องให้นักเรียนได้ค้นพบแนวทางการเรียนของตนเองและมีทางเลือกในการแสวงหาวิธีการของตนเอง
2.
ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 (21st Century
Skills)
เป็นหลักการเกี่ยวทักษะที่สำคัญที่ผู้เรียนพึงมีในศตวรรษที่21 ซึ่งครูต้องส่งเสริมให้ผู้
เรียนได้มีทักษะที่สำคัญในศตวรรษที่21 เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะและสามารถนำใช้ชีวิตในสังคมศตวรรษที่21ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งก็คือหลัก 7Cs หรือในปัจจุบันมีการรวมเข้ากับหลัก 3Rs ที่มีก่อนหน้า
จนกลายเป็นหลัก 3Rs+7Cs ดังนี้
3Rs
Reading (อ่านออก)
Writing (เขียนได้)
Arithmetic (คิดเลขเป็น)
7Cs
- Critical
Thinking & Problem solving คือทักษะในการคิดวิเคราะห์
หมายความว่าคุณต้องคิด เข้าใจ แก้ปัญหา
-
Creativity & Innovation คือทักษะที่เมื่อคุณคิดวิเคราะห์แล้ว
คุณต้องสร้างสรรค์ได้ หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ได้
-
Cross-Cultural understanding คือทักษะที่เน้นความเข้าใจในกลุ่มคนในหลากหลายชาติพันธ์
เพราะเราเป็นสังคมโลก
-
Collaboration Teamwork & leadership คือทักษะการทำงานเป็นทีม
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความเป็นผู้นำ
- Communication information and media literacy คือความสามารถในการสื่อสาร
ความสามารถในการรู้จักข้อมูล ความสามารถในการเข้าใจสื่อ ซึ่งเป็นสาระที่สำคัญ
เพราะ ในปัจจุบันข้อมูลข่าวสาร มีมากมาย
ข้อมูลหลั่งไหลเข้ามา สิ่งดีๆจากคนสร้างดีๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่นเดียวกัน
สิ่งไม่ดีจากคนไม่ดี ก็มีมากมาย
เราในฐานะผู้บริโภคข้อมูลอยู่ตลอดเวลาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความสามารถในการรับรู้ข้อมูล
สื่อ และการสื่อสารต่อออกไปได้
-Computing and ICT literacy คือความสามารถในยุคของ Digital age เราต้องใช้เครื่องมือ
เราต้องมีความสามารถในการใช้เครื่อง เราหลีกเหลี่ยงไม่ได้ เทคโนโลยี
ที่ช่วยเราให้สะดวกมากขึ้น ถ้าเราหนีได้ก็แล้วไป หากหนีมันไม่ได้เราก็จำเป็นต้องมีความสามารถในการใช้มัน
- Career
and Life skill คือ
ทักษะการใช้ชีวิต คือทักษะการประกอบอาชีพ
จากสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นถ้าเราแบ่ง 7Cs ออกได้ 3 ส่วนด้วยกัน คือ
1. ส่วนของการพัฒนาด้านความคิด (Critical
Thinking Creativity Collaboration Cross-Culture)
2. ส่วนของ( Literacy) คือ ความสามารถความเข้าใจ (Information Communication Media
ICT Literacy)
3. ส่วนของ (Life
Skill) คือ มองโลกหรือคนอื่นรอบๆ เป็นศูนย์กลาง
ไม่ใช่มองเราเป็นศูนย์กลาง
3. สี่เสาหลักของการศึกษา
(The four Pillars of Education)
พจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ให้คำอธิบายไว้ว่าหมายถึง หลักสำคัญ ๔ ประการของการศึกษาตลอดชีวิต
ตามคำอธิบายของคณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑
ซึ่งได้เสนอรายงานเรื่อง Learning:
The Treasure Within ต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์
และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อ ค.ศ. ๑๙๙๕ ว่าการศึกษาตลอดชีวิตมีหลักสำคัญ ๔ ประการ ได้แก่
2) การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง คือการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง
ๆ และปฏิบัติงานได้ เป็นการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ต่าง ๆ
ทางสังคมและในการประกอบอาชีพ ซึ่งอาจเป็นการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียน ทั้งนี้
สืบเนื่องจากสภาพในท้องถิ่นหรือประเทศนั้น ๆ หรืออาจเป็นการเรียนรู้ในระบบโรงเรียน
โดยใช้หลักสูตรซึ่งประกอบด้วยการเรียนในภาคทฤษฎีสลับกับการฝึกปฏิบัติงาน
3) การเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกัน คือการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลเข้าใจผู้อื่นและตระหนักดีว่า
มนุษย์เราจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน
ดำเนินโครงการร่วมกันและเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ
โดยตระหนักในความแตกต่างหลากหลาย ความเข้าใจอันดีต่อกันและสันติภาพ
ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าคู่ควรแก่การหวงแหน
4) การเรียนรู้เพื่อชีวิต คือการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลสามารถปรับปรุงบุคลิกภาพของตนได้ดีขึ้น
ดำเนินงานต่าง ๆ โดยอิสระยิ่งขึ้น มีดุลพินิจ และความรับผิดชอบต่อตนเองมากขึ้น
การจัดการศึกษาต้องไม่ละเลยศักยภาพในด้านใดด้านหนึ่งของบุคคล เช่น ความจำ
การใช้เหตุผล ความซาบซึ้งในสุนทรียภาพ สมรรถนะทางร่างกาย ทักษะในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
4. ความเป็น World Class Education นั้นจะต้องมี
ความคิดสร้างสรรค์(Creative )
เพื่อนำไปสู่การแข่งขันที่มีประสิทธิภาพ
คำถามข้อที่ 3: How can
these experiences are effectively organized? (Organize)
การจัดประสบการณ์ทางการศึกษาเหล่านั้นอย่างไรให้มีประสิทธิภาพนั้นโดยการจัดเรียงลำดับประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning
experiences) เป็นการประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเป็นระบบ
เรียงตามลำดับขั้นตอน ต้องมีเนื้อหาครบทุกด้าน ทั้งด้านความคิด หลักการ ค่านิยม
และทักษะ ต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียน และธรรมชาติของเนื้อหาที่มีความแตกต่างกัน
ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามทฤษฎีของไทเลอร์
นั้นมีดังต่อไปนี้
1. มีความต่อเนื่อง (continuity) หมายถึง ในวิชาทักษะ
ต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบการณ์บ่อยๆ และต่อเนื่องกัน
2. การจัดช่วงลำดับ (sequence) หมายถึง หรือการจัดสิ่งที่มีความง่าย ไปสู่สิ่งที่มีความยาก 3. บูรณาการ (integration) หมายถึง การจัดประสบการณ์ควรที่ช่วยให้ผู้เรียน ได้เพิ่มพูนความคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน เนื้อหาที่เรียนเป็นการเพิ่มความสามารถทั้งหมด ของผู้เรียนที่จะได้ใช้ประสบการณ์ ประสบการณ์การเรียนรู้ จึงเป็นแบบแผนของปฏิสัมพันธ์ (interaction) ระหว่างผู้เรียนกับสถานการณ์ที่แวดล้อม
คำถามข้อที่ 4: How can we determine when the purposes are met? (Evaluation)
วิธีการประเมินผลประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างไรจึงจะตัดสินได้ว่าบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
ซึ่งจะคำถามนี้จะตรงกับหลักการประเมิน (Evaluation)
โดยกระบวนการพัฒนาหลักสูตรมีการจัดการประเมินผลออกเป็น 2 ด้าน คือ
1. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
2. การประเมินหลักสูตร
การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนจำเป็นต้องมีการกำหนดคุณภาพการเรียนรู้โดยเกณฑ์การกำหนดคุณภาพที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายคือ
Bloom’s Taxonomy โดยแบ่งระดับการเรียนรู้ออกเป็น 6
ระดับ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ “Bloom’s
Taxonomy แบบดั้งเดิม” จนกระทั่งปี
1990 นักจิตวิทยากลุ่มใหม่ นำโดย Lorin Anderson (ศิษย์ของ Bloom) ได้ทำการปรับปรุงกลุ่มพฤติกรรมขึ้นมาใหม่
ซึ่งได้นำคำกริยามาใช้ในการกำหนดระดับการเรียนรู้แทนคำนามตามแบบดั้งเดิมที่ Bloom ได้เคยกำหนดไว้ กล่าวโดยสรุปคือ “Bloom’s
Taxonomy แบบใหม่” เป็นการเปลี่ยนจากนามเป็นกริยาเพื่ออธิบายระดับที่แตกต่างกันของกลุ่มพฤติกรรม
การประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรแบ่งออกได้ 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นพัฒนา แผนการสอน เป็นขั้นตอนการประเมินโครงร่างแผนทั้งจุดประสงค์
เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน อุปกรณ์ สื่อการสอน การประเมินผลการเรียนการสอนบรรยากาศในการเรียน
สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน
2. ขั้นการใช้หลักสูตร
เป็นขั้นตอนการประเมินแผน การนำแผนมาใช้จริง ประเมินจุดเด่นและจุดด้อยของหลักสูตการจัดการเรียนการสอน
- 3. ขั้นผลิตผลของหลักสูตร
เป็นขั้นตอนของการประเมินติดตามผล
|
1. What is the purpose of the education?
https://docs.google.com/presentation/
d/1xYfinW0Vj-Ub9FXu2duglltCGVqtJ-1a5x0SWf1Mavg/pub?start=false&loop= false&delayms=3000 2. What educational experiences will attain the purposes? https://docs.google.com/presentation/ d/1xYfinW0Vj-Ub9FXu2duglltCGVqtJ-1a5x0SWf1Mavg/pub?start=false&loop= false&delayms=3000 How can these experiences be
effectively organized?
https://docs.google.com/presentation/d/1xYfinW0Vj-Ub9FXu2duglltCGVqtJ-1a5x0SWf1Mavg/pub?start=false&loop= false&delayms=3000 How can we determine
when the purposes are met?
https://docs.google.com/presentation/d/1xYfinW0Vj-Ub9FXu2duglltCGVqtJ-1a5x0SWf1Mavg/pub?start=false&loop= false&delayms=3000 |
วิสัยทัศน์
มุ่งพัฒนาตนเองให้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต
ได้ดำรงตำแหน่งเป็นศึกษานิเทศก์ที่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพศึกษานิเทศก์
มีภาวะผู้นำ มีความรอบรู้ทางการศึกษา
มีการพัฒนาวิชาชีพเพื่อเข้าสู่ความเป็นมาตรฐานสากล และก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีในศตวรรษที่
21
พันธกิจ
1.ศึกษาค้นคว้าเรียนรู้ด้วยตนเองจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต
ภายในปี พ.ศ. 2563
2.ศึกษาความรู้ทฤษฎีหลักสูตรวิชาที่เกี่ยวข้องกับการสอบศึกษานิเทศก์จนสามารถเข้ารับการสอบบรรจุแต่งตั้งดำรงตำแหน่งเป็นศึกษานิเทศก์ที่มีภาวะผู้นำที่สมบูรณ์
3.ศึกษาค้นคว้าพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพศึกษานิเทศก์
4. รวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาในศตวรรษที่ 21 ของหมอวิจารณ์ พานิชที่พร้อมเข้าสู่ความเป็นมาตรฐานสากล
และก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21
เป้าหมาย
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต
สาขาหลักสูตรและการนิเทศ
2. มีทักษะภาวะผู้นำของศึกษานิเทศก์ที่มีความรู้ความสามารถและทักษะ
เจตคติมีคุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ
3. มีความรอบรู้ทางการศึกษา
สามารถปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพของศึกษานิเทศก์ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์
4. เป็นศึกษานิเทศก์ที่มีทักษะภาวะผู้นำที่พร้อมเข้าสู่มาตรฐานสากล
และก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมและเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21
คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีความรู้ดี ซึ่งได้แก่ ความรู้ในวิชาการทั่วไป
ความรู้ในเนื้อหาวิชาในวิชาชีพทุกประการ
2. มีทักษะในการและการปฏิบัติงานในวิชาชีพ มี 3 ด้าน คือ มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงาน
มาตรฐานการปฏิบัติตน
3. มีเจตคติที่ดีในการประกอบวิชาชีพ คือ คุณธรรมของครู จริยธรรม และคตินิยมในความเป็นศึกษานิเทศก์แผนการพัฒนาหลักสูตรของตนเองให้ประสบความสำเร็จ
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญามหาบัณฑิตภายในปีพ.ศ.2560
2.ศึกษาต่อในระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต และสำเร็จการศึกษาภายใน ปี พ.ศ. 2563
3. ศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือหลักสูตรและการนิเทศการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 และเข้ารับการอบรมในการพัฒนาความรู้ความสามารถ
ทักษะและเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพศึกษานิเทศก์อยู่เสมอเพื่อเตรียมพร้อมเข้ารับการสอบแข่งขันในตำแหน่งศึกษานิเทศก์
4. ทำผลงานทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ความรู้ประกอบการทำวิทยฐานะเพื่อใช้ในการขอใบอนุญาตประกอบ
วิชาชีพ (ศึกษานิเทศก์)
5.
สอบบรรจุแข่งขันและเข้ารับการฝึกอบรมจนได้รับผลการประเมินผ่านหลักสูตรการนิเทศการศึกษาตามที่คณะกรรมการคุรุสภารับรองภายในปี2565
6.ประกาศตนให้สมาคมวิชาชีพรองรับเพื่อเข้าสู่มาตรฐานสากลและมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ในยุคศตวรรษที่
21
แผนการประเมิน
ประเด็นที่
1
1. ความสำเร็จในการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต
เกณฑ์การประเมิน
3 = ดี หมายถึง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต ภายในปี พ.ศ. 2563
2
= พอใช้ หมายถึง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต
ภายในปี พ.ศ. 2565
1
= ปรับปรุง หมายถึง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต หลังปี
พ.ศ. 2565
ประเด็นที่
2
2. ระยะเวลาในการเข้ารับบรรจุแต่งตั้งเป็นตำแหน่งศึกษานิเทศก์
เกณฑ์การประเมิน
3 = ดี หมายถึง เข้ารับบรรจุแต่งตั้งเป็นศึกษานิเทศก์ภายในปี พ.ศ. 2567
2= พอใช้ หมายถึง
เข้ารับบรรจุแต่งตั้งเป็นศึกษานิเทศก์ภายในปี พ.ศ. 2570
1
= ปรับปรุง หมายถึง เข้ารับบรรจุแต่งตั้งเป็นศึกษานิเทศก์หลังปี
พ.ศ. 2570
ประเด็นที่
3
3. ความสามารถในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพของศึกษานิเทศก์
เกณฑ์การประเมิน
3 = ดี หมายถึง สามารถปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพในด้านมาตรฐานความรู้และประสบการณ์
มาตรฐาน มาตรฐานปฏิบัติงาน และมาตรฐานการปฏิบัติตน ครบทั้ง 3 ประเด็น
2 = พอใช้ หมายถึง
สามารถปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพในด้านมาตรฐานความรู้และประสบการณ์ มาตรฐาน
มาตรฐานปฏิบัติงาน 2 ประเด็น
1 = ปรับปรุง หมายถึง
สามารถปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพในด้านมาตรฐานความรู้และประสบการณ์ 1 ประเด็น
ประเด็นที่
4
4. ความสามารถในการเป็นศึกษานิเทศก์ที่พร้อมเข้าสู่มาตรฐานสากล
และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21
เกณฑ์การประเมิน
3 = ดี หมายถึง
มีความสามารถในการประกาศตนให้สมาคมวิชาชีพรับรองทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และนำความรู้ต่างๆไปปฏิบัติเพื่อเข้าสู่มาตรฐานสากลและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีในศตวรรษที่
21ได้
2 = พอใช้ หมายถึง มีความสามารถในการประกาศตนให้สมาคมวิชาชีพรับรองในประเทศ
และนำความรู้ต่างๆไปปฏิบัติเพื่อเข้าสู่มาตรฐานสากลและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีในศตวรรษที่
21ได้
1 = ปรับปรุง หมายถึง
ความสามารถในการประกาศตนให้สมาคมวิชาชีพรับรองเฉพาะกลุ่มวิชาชีพและนำความรู้ต่างๆไปปฏิบัติเพื่อเข้าสู่มาตรฐานสากลและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีในศตวรรษที่
21ได้
แผนชีวิต
1. สำเร็จการศึกษาระดับปริญญามหาบัณฑิตภายในปี
พ.ศ. 2560
2. ศึกษาต่อในระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการนิเทศ
มหาวิทยาลัยศิลปากรและสำเร็จการศึกษาภายใน ปี พ.ศ. 2563
3.
ศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมและ เข้ารับการอบรมในการพัฒนาความรู้ความสามารถ
ทักษะและเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพศึกษานิเทศก์อยู่เสมอเพื่อเตรียมพร้อมเข้ารับการสอบแข่งขันในตำแหน่งศึกษานิเทศก์
4. ทำผลงานทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ความรู้ประกอบการทำวิทยฐานะเพื่อใช้ในการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
(ศึกษานิเทศก์)
5. สอบบรรจุแข่งขันและเข้ารับการฝึกอบรมจนได้รับผลการประเมินผ่านหลักสูตรการนิเทศการศึกษาตามที่คณะกรรมการคุรุสภารับรองภายในปี2556
6. พัฒนามาตรฐานวิชาชีพศึกษานิเทศเพื่อเข้าสู่มาตรฐานสากลและมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ในยุคศตวรรษที่
21
แผนการประเมิน
ประเด็นที่
1
1. ความสำเร็จในการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการนิเทศ
เกณฑ์การประเมิน
3 = ดี หมายถึง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการนิเทศ
ภายในปี พ.ศ. 2563
2 = พอใช้ หมายถึง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต
สาขาหลักสูตรและการนิเทศ ภายในปี พ.ศ. 2565
1 = ปรับปรุง หมายถึง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต
สาขาหลักสูตรและการนิเทศ หลังปี พ.ศ. 2556
ประเด็นที่
2
2. ระยะเวลาในการเข้ารับบรรจุแต่งตั้งเป็นตำแหน่งศึกษานิเทศก์
เกณฑ์การประเมิน
3 = ดี หมายถึง เข้ารับบรรจุแต่งตั้งเป็นศึกษานิเทศก์ภายในปี พ.ศ. 2567
2 = พอใช้ หมายถึง เข้ารับบรรจุแต่งตั้งเป็นศึกษานิเทศก์ภายในปี พ.ศ. 2570
1 = ปรับปรุง หมายถึง เข้ารับบรรจุแต่งตั้งเป็นศึกษานิเทศก์หลังปี พ.ศ. 2570
ประเด็นที่
3
3. ความสามารถในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพของศึกษานิเทศก์
เกณฑ์การประเมิน
3 = ดี หมายถึง สามารถวิเคราะห์ อธิบายเชิงเหตุผล และนำความรู้เรื่องมาตรฐานวิชาชีพไปใช้การปฏิบัติงานศึกษานิเทศก์
2 = พอใช้ หมายถึง สามารถอธิบาย ยกตัวอย่างเรื่องมาตรฐานวิชาชีพของศึกษานิเทศก์ได้
1 = ปรับปรุง หมายถึง ไม่สามารถรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานเรื่องมาตรฐานวิชาชีพของศึกษานิเทศก์และยังคงปฏิบัติงานผิดพลาดในประเด็นที่สำคัญไปบ้าง
ประเด็นที่
4
4. ความสามารถในการเป็นศึกษานิเทศก์ที่พร้อมเข้าสู่มาตรฐานสากล
และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21
เกณฑ์การประเมิน
3 = ดี หมายถึง สามารถวิเคราะห์ อธิบายเหตุผล และนำความรู้ต่างๆไปปฏิบัติเพื่อเข้าสู่มาตรฐานสากลและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีในศตวรรษที่
21ได้
2 = พอใช้ หมายถึง สามารถอธิบาย
ยกตัวอย่างความรู้ต่างๆเพื่อเข้าสู่มาตรฐานสากลและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่
21ได้
1 = ปรับปรุง
หมายถึง สามารถรับทราบข้อมูลต่างๆเพื่อให้เข้าสู่มาตรฐานสากล และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงสังคมและเทคโนโลยีในศตวรรษที่
21 แต่ยังคงปฏิบัติงานผิดพลาดประเด็นที่สำคัญไปบ้าง
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น